วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ประวัติผู้ทำ


ดิฉันชื่อ นางสาวศศิธร อภิศุภวัฒน์ ชื่อเล่น เจน ค่ะ อายุ 22 ปี
เกิดวันเสาร์ ที่ 16 มกราคม 2531 ปีมะโรง ค่ะ เป็นคนกรุงเทพมหานครค่ะ
จบการศึกษาระดับประถมศึกษาที่ โรงเรียนวัดกระจับพินิจ
ต่อมาศึกษาต่อระดับมัธยมศึกษาที่ โรงเรียนวัดอินทาราม
และจบการศึกษาระดับ ปวช.ที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี สาขาศิปกรรม
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ระดับปริญญาตรีปี 4 ที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา
สาขานิเทศศาสตร์ เอกวิทยุโทรทัศน์ ภาคพิเศษ
งานอดิเรก ยามว่างเป็นคนชอบวาดรูปแต่ที่มาเลือกเรียนสาขานี้เพราะอยากลองและเรียนรู้ในสื่งใหม่ๆ
นิสัยส่วนตัว เป็นคนสนุก เฮฮาเมื่อเวลาสังสรรค์อยู่กับเพื่อนๆ ขี้เล่น ตลกบ้างเป็นบางเวลา
คติประจำใจ เก็บเกี่ยวสิ่งใหม่ๆแล้วนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์

เข้าสู่เส้นทางการเป็นแว๊นต์..สก๊อยซ์


แก๊งมอเตอร์ไซค์กวนเมืองที่นัดรวมตัวกัน “บิด” เพื่อความเมามันบนท้องถนน จนเป็นที่รำคาญของผู้คนเกิดมานานแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้ เพราะวัยรุ่นเหล่านี้มีความว่องไวในการหลบหนี จนคนระดับเสนาบดีต้องยอมยกธงขาวมาแล้ว วัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เคยดำริให้มีการจัดสนามแข่งให้พวกเขา และเธอเหล่านี้ได้ระบายออก
นักซิ่งมอเตอร์ไซค์จอมป่วน ผู้ทำหน้าที่นักบิด จะเรียกตัวเองว่า “เด็กแว้น” หรือบ้างก็เรียกว่า “เด็กแซป” คำว่า แว้น ล้อมาจากเสียงแผดของ ท่อไอเสียมอเตอร์ไซค์ที่บิดออกมา แว้นๆ แต่ละครั้ง ขณะที่ สาวน้อยหน้าแฉล้ม ที่นั่งซ้อนท้าย เธอคือ “สก๊อย”
คำว่า “เด็กแซป” มาจาก แซปคุง ส่วน “สก๊อย” มาจาก สก๊อยจัง ซึ่งเป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูน ญี่ปุ่น ที่ออกแบบขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 7 ปีมอนสเตอร์คลับ โดยทั้งสองเป็นคู่ขาตุนาหงันกัน
เด็กๆ เหล่านี้จะมีบุคลิกลักษณะเฉพาะ โดย เด็กแว้น จะต้องใส่ “กางเกงรัดขาลีบๆ และสวมเสื้อยืดสีดำ” ไว้ผมทรง “ปั๊บ โปเตโต้” แบบ เซอร์สุดๆ (ทรงหัวยุ่งๆ นั่นแหละ)
ขณะที่ สก๊อย จะใส่เสื้อยืดรัดติ้ว หรือไม่ก็ สายเดี่ยว เกาะอก เห็นสัดส่วนกันจะจะ กางเกงขาสั้นเอวต่ำ แบบไม่เกรงใจพ่อแม่ ที่สำคัญ “ต้องโชว์ขอบกางเกงในด้วยนะจ๊ะ” ส่วนใบหน้าเธอสังเกตง่ายๆ จะทา “หน้าขาววอก ปากแดงแจ๋” โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะใส่รองเท้าแตะแบบนิ้วคีบเท่านั้น
แก๊งมอเตอร์ไซค์ซิ่ง เหล่านี้ จะยึดพื้นถนนที่โล่งตามสี่แยกในตัวเมืองและนอกเมืองในยามค่ำคืน ที่ปลอดตำรวจ วนเวียนไปเรื่อยๆ แล้วแต่สถานการณ์ หากย่านใดถูกตำรวจไล่จับก็จะหนีไปที่อื่นๆ อาทิ ถนนบางขุนเทียน-บางบอน ถนนวงแหวนช่วงตลิ่งชัน-บางบัวทอง ถนนพุทธมณฑลสาย 2, 4 ถนนวิภาวดีรังสิต ช่วงแยกสุทธิสารถึงแยกลาดพร้าว ถนนบางพลี-บางโฉลง ตัดออกไปทางบางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา
นอกจากนี้ ก็ยังมีบริเวณถนนรอบเมืองและรอยต่อปริมณฑล เช่น ถนนสุขสวัสดิ์ ช่วงหน้าวัดสนเขตราษฎร์บูรณะจนถึงแยกพระประแดง ถนนราชพฤกษ์ เส้นด่านต่างระดับจรัญสนิทวงศ์ 13 ถึงด่านตากสินเพชรเกษม ลานพระบรมรูปทรงม้า แยกกองทัพภาคที่ 1 หน้าสวนอัมพร ถนนอู่ทองใน ด้านหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ถนนศรีนครินทร์ จากแยกศรีอุดมถึงถนนเทพารักษ์ ใน จ.นนทบุรี ก็จะซิ่งกันบน ถนนรัตนาธิเบศร์ ตัดกับ ถนนกาญจนาภิเษก ฯลฯ
วัยรุ่นเหล่านี้เขาต้องการอะไร?
นัท หนึ่งในผู้หลงใหลเสียงแว้นๆ เล่าว่า วัยรุ่นขี่รถซิ่งกวนเมือง นับร้อยๆ คัน ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มที่กลับมาจากเที่ยวกลางคืน หลังผับเลิก และนัดกันขี่รถมอเตอร์ไซค์เที่ยวต่อ เมื่อไปเจอกลุ่มรถซิ่งอีกกลุ่มก็ค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน แล้วก็แห่ขับตามกันไป จากกลุ่มเล็กๆ ประมาณ 10-20 คัน ก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วขับกันไปกันยังจุดที่เป็น “ทำเล” เหมาะๆ เช่น สี่แยกใหญ่ๆ หรือถนนเส้นที่เป็นเส้นตรงทั้งกว้างและยาว
หากไม่มีสนามอย่างที่ว่า ก็จะขับโฉบไปรอบๆ เมือง บิดคันเร่งส่งเสียงดัง หรือไม่ก็ โชว์ลีลากวนประสาท เช่น ยกล้อ ขับด้วยการนอนราบไปกับเบาะ หรือขับรถปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อกวน บางคนก็ต้องการซิ่งโชว์ลีลาสก๊อยที่นั่งซ้อนท้ายแต่ละคัน ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้านหรือไปรวมตัวกันที่ ไหนต่อ
“พวกเราชอบซิ่งรถโฉบไปโฉบมาเพื่อเอามันส์อย่างเดียว ไม่ได้แข่งซิ่งจริงๆ จังๆ อะไร เพราะหลังผับเลิกก็ไม่รู้จะไปไหนก็เลยแห่กันไปซิ่งรถเล่น ยิ่งพอได้เห็นกลุ่มอื่นๆ ที่ขี่ซิ่งกันมาด้วยเยอะๆ ก็เข้าไปร่วมด้วย วิ่งเกาะกันเป็นกลุ่ม เป็นการเฮตามกันไปเท่านั้น แต่พอเจอตำรวจคราวนี้ก็ตัวใครตัวมัน” นัทว่า‘แดร็กไบค์’ การพนันแลกเงิน/สก๊อย
อีกก๊วนไม่ซิ่งเปล่า แต่ท้าทายกันด้วยการแข่งขัน โดยจะจับคู่กันวัดให้เกมไปเลย เอ๋ นักซิ่งวัยโจ๋ เล่าว่าตอนนี้เทรนด์ความนิยมแข่งรถซิ่งของเด็กวัยรุ่น จะนิยม “แดร็กไบค์” (Drag Bike) เป็นการแข่งรถเป็นคู่ หรือ 2 คัน เพื่อวัดว่าใครเร็วกว่ากัน
“เราวัดระยะทางกันที่ 402 เมตร ทางตรงอย่างเดียว โดยเฉลี่ยใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาทีเท่านั้น สนนวงเงินเดิมพันนับหมื่นบาท และเด็กส่วนใหญ่ที่ไปแข่งจะไปกันเป็นกลุ่มกลุ่มละ 10 กว่าคน ซึ่งแต่ละกลุ่มไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่เป็นที่รู้กันในกลุ่มว่า เวลานี้ และถนนเส้นนี้มีการแข่งรถซิ่ง โดยเฉพาะคืนที่มีคู่เดิมพันสูงๆ ก็จะมีรถซิ่งจำนวนมากมาร่วมเชียร์
“บางคนไม่แข่งพนันกินตังค์ แต่พนันด้วยรถที่ใช้แข่งนั่นแหละ แต่ก็มีบ้างบางคนเดิมพันสก๊อย ที่ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์มาด้วย ในช่วงวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ การแข่งซิ่งจะเยอะมาก เพราะแต่ละคนอยากจะนำรถมาอวดโชว์ ซิ่งโชว์กัน”
เอ๋ บอกว่า เขาชอบแข่งแดร็กไบค์ ในคืนวันเสาร์ และอาทิตย์ เพราะจะมีวัยรุ่นมาร่วมเชียร์ นับร้อยคัน ถ้าคืนไหนมีคู่ “บิ๊กแมตช์” เช่น เด็กกรุงเทพฯ กระเป๋าหนัก แข่งกับ เด็กนครนายก หรือ เด็กปทุมธานี คนก็จะเยอะ เพราะเเป็นการแข่งเพื่อวัดศักดิ์ศรีกันระหว่างเด็กเมืองและต่างจังหวัด
ก่อนลงสู่สนาม ทั้งสองฝ่ายจะมอบเงินพนันที่ตกลงกันไว้ให้กับคนกลางเป็นผู้ถือเก็บไว้ และรออยู่ตรงจุดเส้นชัย แต่ถ้าเดิมพันด้วยรถแข่ง ก็จะจับมือสัญญากันว่า ถ้าใครแพ้จะต้องยกรถคันนี้ให้กับคนชนะไป
ปฏิบัติหักหลังและความตาย
คืนไหนมีการพนันสูงๆ คืนนั้นก็จะมีเรื่อง “หักหลัง” กันเองเสมอ ทำให้เดี๋ยวนี้วัยรุ่นหลายกลุ่มที่มาแข่งขันต่างไม่ไว้ใจกัน หลายคนเริ่มพกปืนมาด้วย หากเกิดเหตุเบี้ยวกัน ไม่ว่าเบี้ยวเงินหรือไม่ยอมยกรถให้ฝ่ายชนะ ก็จะเกิดเหตุไล่ยิงกัน
ไม่จบแค่นั้น หลังเกมโอเวอร์ในแต่ละคืนแล้ว เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ที่มาเชียร์หรือมาดูเพื่อนตัวเองแข่ง ก็จะลอง Test รถของตัวเองด้วย เช่น ลองเครื่องที่ยกมาใหม่ และทดลองเสียงท่อสูตรที่เพิ่งไปแต่งมา
“กฎเหล็ก” ของกลุ่มคือ ไม่ว่าจะเมามันขนาดไหน หากเจอตำรวจ...ตัวใครตัวมัน เพราะถ้าตำรวจจับได้จะถูกยึดรถ และหากต้องการรถคืนก็ต้องนำอุปกรณ์รถของเดิมมาใส่ให้ครบ จากนั้นจึงจะนำรถออกจากสถานีตำรวจได้ เด็กแว้นจึงหนีตำรวจไม่คิดชีวิต จนหลายครั้งเกิดเฉี่ยวชนคนและรถคันอื่นล้มกันระเนระนาด
เวลาไปขี่รถซิ่งกันเป็นกลุ่มใหญ่จริงๆ ก็ไม่ได้รู้จักกันเลย เมื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์เกี่ยวล้มกันเอง รถใครล้มบาดเจ็บเพื่อนในกลุ่มเดียวกันจะมาช่วยกันเอง ไม่มีใครสนใจใคร ถือว่าคนนั้นซวยไป เพราะถ้าเข้าไปช่วยจะมีปัญหาตามมาภายหลังเวลานำคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล ตำรวจก็จะมาสอบถามว่าไปทำอะไรมา
ถ้าร้ายสุดๆ นั่นคือ “ความตาย” ซึ่งทุกคันที่ตัดสินใจออกมาสู่ถนนซิ่งแล้ว...ล้วนต้องเดิมพันด้วยซีวิต แต่ “ความตาย” หรือบาดเจ็บขนาดไหน....แต่ละคนต่างไม่เข็ดหลาบหรือคิดวางมือ
‘ฮอนด้า-ยามาฮ่า’ ยอดโจรกรรมพุ่ง
หลุ่ง เจ้าของร้าน Modify ธุรกิจแต่งรถ และจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถซิ่งแห่งหนึ่ง กล่าวว่า ปัญหาการแข่งรถซิ่งบนท้องถนนมีมานานแล้ว และฮิตกันจนมีการขโมยรถมอเตอร์ไซค์กันจำนวนมาก เพราะผู้ที่คลั่งไคล้พาหนะกระดูกหุ้มเหล็ก ต่างก็อยากครอบครองรถคันงามๆ
รถที่มักจะถูกขโมยบ่อยๆ มี 2 แบบคือ แบบเกียร์อัตโนมัติ จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ ฮอนด้า รุ่นคลิก และยามาฮ่า รุ่นมีโอ ส่วนรถเกียร์ธรรมดา จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นโซนิค เพราะเป็นรุ่นที่หาอุปกรณ์แต่งง่าย จึงเป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่วัยรุ่น ซึ่งส่วนใหญ่จะขโมยรถเพื่อนำไปแข่ง หาเงินเดิมพัน หรือบางรายหาเงินเดิมพันเป็นตัวเงินไม่ได้ ก็จะใช้รถเป็นสิ่งเดิมพัน เพราะถ้าถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับระหว่างแข่งรถ จะปล่อยให้รถถูกยึดไป หรือถ้าแพ้ก็ไม่เสียเงิน แต่ถ้าชนะก็จะได้รถคันใหม่ไปขายนำเงินมาใช้นี้คือ ช่องทางการหารายได้
เด็กวัยรุ่นที่แต่งรถซิ่งส่วนใหญ่จะขอเงินพ่อแม่มาซื้ออุปกรณ์ตกแต่งรถ แต่ก็มีบ้างบางรายที่ไปขโมยรถมาเพื่อนำไปแข่ง หรือบางรายได้เงินมาแต่งรถจากเงินชนะพนัน ลองคิดดูแต่งรถแข่งให้แจ่มๆ ต้องใช้เงินหลายหมื่นบาท แค่ราคารถก็คันละ 5 หมื่นกว่าบาทแล้ว ถามว่าถ้าพ่อแม่ไม่ให้ตังค์เด็ก แล้วเด็กจะเอาเงินมาจากไหน
เปิดสนามซิ่งเป็นทางออก
คงเดช มีชำนะ ผู้อำนวยการนิตยสาร Maximum Speed และผู้จัดการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ กล่าวว่า ปัญหาเด็กแว้น ต้องยอมรับว่ามี 2 กลุ่มคือ กลุ่มเด็กแว้นซิ่งมอเตอร์ไซค์ป่วนเมือง ต้องการโชว์ผู้หญิง และ โชว์เพื่อน ในกลุ่ม จนสร้างความวุ่นวายให้กับสังคม และอีกกลุ่มคือ เด็กที่ต้องการแข่งรถจริงๆ เพราะเด็กกลุ่มนี้ไม่มีสนามให้ “ลองของ” เพราะปัจจุบับเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าไปอย่างมากในการแต่งรถ ให้เร็วและแรง
คงเดช กล่าวว่า ถ้าภาครัฐและเอกชนเปิดกว้างสนับสนุนให้เด็กวัยรุ่นที่ต้องการแข่งรถซิ่งจริงๆ ได้มีสนามแข่งขัน เพราะมีความปลอดภัย ตั้งแต่ก่อนแข่งขันมีการตรวจเช็กสภาพรถถึงความพร้อม การเตรียมรถพยาบาล รถดับเพลิงหากเกิดอุบัติเหตุ ชุดแข่งขันที่ได้มาตรฐานป้องกันการบาดเจ็บ และ วิ่ง 2 แดร็ก คือทางตรงทางเดียว ซึ่งปลอดภัย ที่สำคัญสามารถกำหนดอายุและควบคุมเด็กผู้เข้าร่วมแข่งขันได้
ปัญหาเด็กแว้นต้องแยกให้ดี เพราะเด็กบางกลุ่มอยากแข่งรถจริงๆ แต่ไม่มีสนามให้ลอง แม้มีสนามก็อยู่ไกล ควรเปิดกว้างให้มีสนามให้เด็กได้ใช้มากๆ เช่น Taxi Way ในสนามบินก็ได้ เมื่อมีสนามให้เด็กพวกนี้ได้เล่นก็จะช่วยลดปัญหาเด็กแว้นได้มาก
พีระ จึงพีระพานิช เจ้าของสนามแข่งรถ Bangkok Drag Avenue กล่าวว่า เมื่อก่อนมีปัญหาปิดถนนแข่งรถซิ่งจำนวนมาก แต่เมื่อมีสนามแข่งรถแห่งนี้ทำให้ปัญหาเหล่านี้ลดลง ซึ่งลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท มีเนื้อที่ 50 ไร่ ตั้งอยู่ตรงบริเวณคลอง 5 เส้นทางไป จ.ปทุมธานี เป็นสนามที่ใช้รองรับการแข่งมอเตอร์ไซค์โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า “แดร็กไบค์” ลักษณะการแข่งจะแข่งกันเป็นคู่ คือ มีลู่ทดลองความเร็วให้รถมอเตอร์ไซค์วิ่งได้ 2 คัน ในระยะทาง 402 เมตร และกว้าง 20 เมตร แต่ความยาวทั้งลู่นับรวมระยะเบรกด้วยยาว 800 เมตร เป็นระยะที่ได้มาตรฐานสากลจากสหรัฐ คิดค่าใช้บริการคือ รถมอเตอร์ไซค์คันละ 100 บาท
เหตุผลที่ใช้การวัดความเร็วด้วยระยะทาง 402 เมตร เพราะเป็นช่วงที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนได้พีกที่สุด และยังเป็นระยะทางความยาว 1 ใน 4 ของไมล์ หรือ 1.6 กิโลเมตร และเป็นระยะทางที่นิยมใช้ทดสอบความเร็วที่เรียกว่า Racing Way กันมาก ‘ลูกตำรวจ-ผู้มีอิทธิพล’ ตัวแสบ
พล.ต.ต.เกษียร วรศิริ ผบก.วจ. กล่าวว่า ปัจจัยสนับสนุนการแข่งขันรถซิ่งในที่สาธารณะมาจากความสามารถในการขับขี่ด้วยความเร็วสูง ความพร้อมด้านอุปกรณ์การปรับแต่งรถ มีร้านรับซ่อม ดัดแปลง หรือจำหน่ายอุปกรณ์ รวมถึงมีเซียนพนันคอยส่งเสริมให้มีการแข่งขันด้วย ในขณะที่ตำรวจท้องที่ต่างๆ ที่มีหน้าที่ปราบปรามเห็นว่า เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ลงแข่งเพราะความสนุกสนาน คึกคะนอง ความมัน ท้าทาย รู้สึกสะใจที่ได้ขับรถแข่งเร็วๆ ซึ่งแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาจะหวังใช้การปราบปรามของตำรวจฝ่ายเดียวไม่ได้ เพราะบางครั้งตำรวจอาจต้องใช้วิธีการรุนแรง เช่น การวางกำลังและเครื่องกีดขวางปิดหัวปิดท้ายถนน เพื่อกวาดจับนักซิ่งแต่ผลที่ได้รับคือการถูกร้องเรียน
“ผู้ต้องหาที่จับได้บางส่วนเป็นลูกหลานตำรวจ หรือเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีเส้นสายด้วย” พล.ต.ต.เกษียร กล่าว
สำหรับการแข่งรถซิ่งในทางสาธารณะ มีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 130 ประกอบ มาตรา 160 ทวิ นำส่งพนักงานสอบสวน (พงส.) ดำเนินคดีจนถึงชั้นศาล ผลการพิจารณาส่วนใหญ่ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลย จำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 2 พัน-1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นไม่น้อยกว่า 1 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่
สำหรับการลงโทษพ่อแม่ผู้ปกครองในกรณีที่ลูกหลานขับรถซิ่ง ข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (3) และ มาตรา 38 ระบุไว้ว่า ผู้ปกครองหรือใครก็ตามที่มีหน้าที่ดูแลเด็กจะไม่สามารถให้ท้ายหรือปล่อยปละละเลยให้เด็กไปทำผิดกฎหมายได้อีกต่อไป มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คุณหมอแนะพ่อแม่มองแง่บวก
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า พ่อแม่ควรจะมองเด็กๆ เหล่านี้อย่างเข้าใจพฤติกรรมของเด็กว่าทำไมถึงมีพฤติกรรมและสนใจการขี่รถซิ่ง หรือให้คิดในแง่บวกก่อนว่าเด็กอาจจะสนใจการขับขี่รถซิ่งเพราะสนใจเรื่องเครื่องยนต์ และชอบแข่งขัน ไม่ควรไปบังคับกดดันให้เด็กต้องเลิกพฤติกรรม แต่ควรจะร่วมกันหาทางออกอย่างเข้าใจ
“อาจจะเป็นเพราะว่าเด็กแว้นมีทางเลือกน้อย ไม่มีพื้นที่แสดงออก เพราะบางคนชอบเครื่องยนต์กลไก จึงไปสนใจขี่รถซิ่ง บางคนต้องการโชว์สาวจึงชอบขี่รถซิ่ง บางคนชอบกีฬา Extreme จึงไปซิ่งรถกวนเมือง ดังนั้นการใช้วิธีปราบอย่างเดียวไม่มีทางได้ผล ควรจะเปิดพื้นที่ให้เด็ก เพราะเด็กยังเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์อยู่ ความคิดความอ่านอาจจะหุนหันพลันแล่นไปบ้าง แต่สิ่งสำคัญต้องมองและคิดในแง่บวกไว้ก่อน

ที่มา..ที่ไปของเด็กแว๊นต์..สก๊อยซ์


เด็กแว้นต์ เป็นกลุ่มวัยรุ่นซิ่ง ที่นิยมซิ่งรถบนถนน โดยต้องการประลองความเร็ว มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางคนรู้จักเด็กแว้นต์ในชื่อของ เด็กเรซ หรือ เด็กเทสต์ แล้วแต่จะเรียก เด็กแว้นต์จะมีผู้หญิงซ้อนท้ายด้วยเสมอ ผู้หญิงเหล่านี้ทำตัวเสมือนตุ๊กตาท้ายรถ ส่วนใหญ่จะใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น ผมซอย สวมเสื้อเอวลอย สายเดี่ยว คอเลื้อยคว้านลึกจนเห็นเนินอก แต่งหน้าจัด ใช้ขนตาปลอมเพื่อให้ขนตาเด้งลู่ลม แก้มแดงด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ มักกอดรัดฟัดเหวี่ยงฝ่ายชายขณะซ้อนท้ายรถจนเกินงาม ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ซ้อนท้ายเด็กแว้นต์จะเรียกตังเองว่า "เด็กสก๊อย" หรือ "เด็กซ้อน" ผู้หญิงกลุ่มนี้มักมารวมตัวกันตามสถานที่นัดพบกันก่อนที่นักซิ่งหนุ่มจะมาเสมออธิบายคำว่า แว้นต์ มาจาก...เสียงท่อรถที่เวลาแข่งกันแล้วบิดเร่งความแรงดัง แว้นต์....แว้นต์....การเข้าสู่เส้นทางการเป็นเด็กแว้นต์ เริ่มจาก "สภาพแวดล้อมพาไป" บางคนครอบครัวเปิดอู่ซ่อมรถ หรือคบเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มแข่งรถเป็นเด็กแว้นต์มาก่อน ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ การเลี้ยงดูก็มีส่วนสำคัญ เด็กแว้นต์ส่วนใหญ่มาจาก "ครอบครัวที่มีปัญหา" พ่อแม่ไม่มีเวลา หย่าร้าง เลี้ยงลูกด้วยเงิน สุดท้ายมาจาก "ความชื่นชอบส่วนตัว" โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นิยมเรื่องเครื่องยนต์ และชอบการขับขี่มอเตอร์ไซค์ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแข่งรถอาชีพรถที่นำไปแว้นต์ส่วนใหญ่เป็นมอเตอร์ไซค์ 2 จังหวะ หรือมอเตอร์ไซค์ที่มีคลัตช์ มอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะหรือมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีคลัตช์และออโตเมติค หรือมอเตอร์ไซค์ที่บิดคันเร่งได้โดยไม่ต้องเข้าเกียร์เอง รถเกือบทุกคันต้องทำการปรับปรุง ตกแต่ง ต้องใช้เงินในปริมาณที่สูง เด็กแว้นต์ใช้ศัพท์การตกแต่งรถว่า "มาโมกันเถอะ"คนที่แว้นต์ชนะนักซิ่งคนอื่นบ่อย ๆ จะถูกเรียกว่า "ตัวขี่" ตัวขี่เป็นที่น่าเกรงขามของนักซิ่งทั่วไปและยังเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสาว ๆ ที่ซ้อนท้ายส่วนการประชันความเร็วนั้นมักใช้เย็นวันพุธ ศุกร์ และวันเสาร์ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและโอกาส การนัดรวมตัวเพื่อลองรถนั้นต้องระวัง "พ่อ" ซึ่งเด็กแว้นต์ใช้เรียก "ตำรวจ"ส่วนการลองเครื่อง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือลองเครื่องในสนามแข่งกับลองเครื่องนอกสนามแข่ง การลองเครื่องในสนามต้องเสียค่าใช้จ่าย 400-500 บาท แต่ก็มีกฎระเบียบในการนำรถเข้าแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความจุกระบอกสูบ สภาพรถต้องไม่ถูกดัดแปลงมากเกินไป แต่ถ้าดัดแปลงมากเกินไปจนเรียกว่า "รถเปลือย" จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสนามแข่ง ดังนั้น รถเปลือยจำนวนมากจึงต้องออกไปใช้ถนนหลวงเป็นสนามประลองความเร็ว ส่วนมากเด็กแว้นต์นิยมเลือกถนนสายเส้นที่ไกลจากชุมชน ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนผู้คน โดยจะเลือกถนนโล่ง และถ้าเป็นถนนที่พึ่งเปิดใช้ใหม่จะยิ่งชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะพื้นผิวถนนยังดีอยู่เด็กแว้นต์จะมีเทคนิคระดับเซียน โดยเริ่มจากตรวจเช็คเครื่องยนต์ของตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถ้าหากพบจุดที่เสียหายจะรีบซ่อมแซมทันที มักดัดแปลงเครื่องยนต์ให้กินน้ำมันเยอะ ๆ เพื่อจะได้เร่งความเร็วได้มากขึ้น ถอดโครงหุ้มรถออกเพื่อลดน้ำหนักของตัวรถลง แสดงท่าทางต่าง ๆ ขณะขับขี่ การขับขี่ส่วนใหญ่จะก้มหัวลงและบิดเครื่องยนต์ให้แรงขึ้น และบางคนจะนอนคว่ำหน้าลงนาบไปกับเบาะเพราะเชื่อว่าจะทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้น การขับขี่ไม่ใช่จะประชันความเร็วเพียงอย่างเดียว แต่ต้องโชว์เทคนิคการขับขี่ให้ตื่นเต้น เช่น การสตาร์ตเครื่องและบิด การเข้าเกียร์ 1 แล้วเหยียบเบรก เร่งเครื่องสุดชีวิตจะทำให้ยกล้อได้ทันที นอกจากนี้ จะเห็นว่ารถเด็กแว้นต์ยังติดเครื่องเสียงให้ดังเพื่อเรียกร้องความสนใจการแข่งขันแต่ละครั้งมีเดิมพันด้วยเงิน มอเตอร์ไซค์ และผู้หญิงที่ซ้อนท้ายมาด้วย ซึ่งจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์

วิถีแห่งเด็กสก๊อยซ์


กลุ่มเด็กสาวผู้คลั่งไคล้ ในลัทธิเด็กแว๊น ส่วนใหญ่มักเป็นแฟนเด็กแว๊น ซ้อนมอไซค์ ตระเวนสร้างความรำคาญในยามราตรีอาจจะมีกลุ่มเด็กล่าแต้มอยู่ด้วย สามารถพบเจอได้ตามรัชดา ซอย 4 และ บาหลี !(ร้านนี้มีแน่นอน เยอะด้วย)ลักษณะการแต่งตัวที่เห็นชัด แบ่งเป็น 2 แบบ1. ใส่เสื้อสายเดี่ยวหรือเสื้อกล้ามตัวเล็กและกางเกงขาสั้นขาจะลาย เนื่องจากบ่อยครั้งที่โดนท่อไอเสีย ลวกเอา....ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ และ ออกหาคู่ในยามราตรี2. ผิวค่อนข้าง ดำทมึน ทรงผมจะเหมือนกับเซทบนมอไซค์ (นึกไม่ออกให้นึกถึงทรงปั๊ปโปเตโต้ อัลบั้มนี้)ย้อมผมสีทองเป็นกระด่างๆดำๆทองๆ เนื่องจากใช้ยาย้อมผม เกรดต่ำ..ใช้น้ำยาอุทัยทิพ วันละขวด เพื่อ ปัดแก้มดำๆให้กลายเป็น เอซีมิลาน (แดงดำ)และใช้ทาปาก จน แดงเหมือนพึ่งไปจกไก่ในเล้ามากินสด..ใส่ถุงเท้าลูซซอก(ย้วยๆ)ดำๆ และ มักจะหุ่นค่อนข้าง อวบ ใกล้อ้วน ลงพุง (แต่มักใส่เสื้อรัดๆ เพราะมันใจว่า หุ่นดี โธ่ E'ช้างน้ำ)ขาใหญ่เท่าโต๊ะสนุก เนื่องจากต้องใช้ขาในการสตารต์มอไซ วันละหลจริงๆเมื่อก่อนจะได้ยินคำว่า เด็กแซ้บบบ และ สก๊อยนะเด็กแว้นนยังไม่มี เด็กแซ้บ จะมีความหมายคลอบคลุมมากกว่าเด็กแว๊นคือจะไม่จำกัดเฉพาะวงการมอเตอร์ไชค์แต่จะเหมารวมถึงกลุ่มเด็กที่ชอบทำตัวให้โดดเด่นสะดุดตาชาวบ้านด้วยวิธีการที่ผิดๆเพื่อให้เป็นที่สนใจด้วยวิธีการใดๆก็ตามเช่น ชกต่อยกันตามงานคอนเสิร์ต ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาดบาดตา ไม่ไปเรียนหนังสือ สิงสู่ตามโต๊ะสนุ๊ก แต่ที่มีมากที่สุดก็คือชื่อนชอบการดัดแปลงรถมอเตอร์ไชค์ และมักรวมตัวกันเป็นแก็ง และพัฒนากลายเป็นเด็กแว๊นขึ้นมา สันนิษฐานว่ามาจากการที่คนได้ยินเสียงท่อรถดังแว๊นๆเลยเรียกว่าเด็กแว๊นแต่เด็กแซ้บบางคนก็ไม่ได้ดัดแปลงรถมอเตอร์ไชค์จนมีเสียงแว้นๆ รถยังคงเป็นเดิมๆอยู่ อาจมีเหตุผลที่ว่า ผู้ปกครองไม่ให้แต่ง ไม่มีตัง เป็นต้นเด็กสก้อยก็คือแฟนเด็กแซ้บนั่นแหละแต่มีอะไรที่มากกว่าคำว่าแฟน แต่หลังๆไม่ได้ยินคำว่าเด็กแซ้บบหละ จะได้ยินคำว่าเด็กแว็นนมากกว่า แต่คิดว่าคงมีรากศัพท์มาจากเด็กแซ้บบนะปล. รถมอไชค์ที่นิยมจะเป็นตามยุคตามสมัย ไล่มาตั้งแต่ แดช เทน่า มาเป็น เวฟ และล่าสุด มีโอ ปัจจุบันเห็น ฮอนด้า คลิ๊ก กำลังมาแรงสก๊อยต้อง ใส่กางเกงสีแปร๋น ยี่ห้อเจเจ กับเสื้อนักเรียน หรือเสื้อยืดรัดติ้วตัวเล็ก คนไหนผมยาวก็จะซอยผมซะจนหางม้ากลายเป็นหางหนู ข้างหน้าก็จะไว้ม้าปัด แต่แสกข้างซะยังกะทรงพี่ปั๊บ โปเตโต้ ภาคผมยาว ส่วนคนผมสั้นด้วยความที่รร.เค้าห้ามซอยผม มันก็ยังจะเสร่อไปทำกัน พอถูกฝ่ายปกครองตัดผม ก็จะกลายเป็นผมบ็อบที่มีปลายผมตีบๆอยู่ในช่วง 1-1.5 นิ้วมาที่การแต่งหน้ากันมั่ง ส่วนมากจะโบกแป้งจนกลายเป็นสีเทาไปทั้งหน้า แล้วก็จะทาปากด้วย tint ยี่ห้อถูกๆขวดละ 20 กว่าบาท ที่หาซื้อตามตลาดนัดแล้วบางทีก็เอามาปัดแก้มด้วยนะPorp ที่ขาดไม่ได้เลย คือ มือถือที่ราคาแพงแสนแพง ไม่รู้ให้พ่อแม่เอาบัตรอิออนผ่อนมากี่งวดแล้ว แต่ละรุ่นใช้ดีกว่านักวิชาการหรือาจารย์มหาลัยบางท่านซะอีก แต่ไม่มีตังค์โทรหรอกนะ ใช้ยิงเอา หุหุ แล้วก็ต้องมีตัวห้อยใหญ่ๆด้วย ยิ่งโตงเตงออกมาเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วตามมาด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย เนื้อผ้าขนหนูที่ห่วยมากๆ สีแปร๋นอีกตามเคยนอกจากนี้บางคนยังพกกระเป๋าซิปอันเล็ก ที่จะใส่แป้งฝุ่นแบบวิ้งที่ใช้พอกหน้าให้เป็นสีเทานี่แหละ แล้วก็อาจมี tint ที่เอาไว้เติมหน้าเติมปาก ชม.ละครั้งด้วย แต่มือถือกับผ้าเช็ดหน้านี่ต้องถือเอานะ ต้องโชว์ เค้ามีไว้โชว์ อ้อ แล้วในกระเป๋านั่นก็ไม่ค่อยมีตังค์เท่าไหร่หรอก ถ้าคนไหนใช้แบบพลาสติกใส เราจะเห็นเลยว่ามีแบงค์ 20 เก่าๆ นอนอยู่ก้นกระเป๋าแค่ 3-4 ใบเท่านั้นายๆครั้ง

วิถีแห่งเด็กแว๊นต์


กลุ่มผู้มีปัญหาทางสังคม นิยมชมชอบในการนำมอเตอร์ไซค์ มาทำการดัดแปลง ให้ เร็วขึ้น เสียงดังขึ้นนิยมอยู่กันเป็นกลุ่ม ซึ่งในบางพื้นที่จะมีการแข่งขันมอไซค์กัน บนท้องถนนซึ่งสร้างปัญหาให้ชาวบ้านเป็นอย่างมากข้อ สันนิษฐาน คำว่า แว๊น น่าจะมาจาก เสียงจากท่อไอเสียซึงดัดแปลงให้มีเสียงดังขึ้น เพื่อกวนประสาทประชาชนซึ่งเมือ บิด จะเกิดเสียง ดัง แว๊นๆๆๆ............แอ๋นนนนนนนนนนนนนน....ลักษณะการแต่งตัว*เด็กแซบจะสังเกตง่ายๆ คือ กางเกงขาเดฟตัวเล็กมากๆ พร้อมเสื้อสีดำตัวเล็ก หรือ เสื้อที่มี สกรีนลาย Linkin park , Lim Biskiz BodySlam หรือไม่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะเป็น คนไม่มีแฟน ไม่ก็ เสื้อลายตารางบางรายอาจใส่กางเกงขาสั้นแบบที่ผู้หญิงชอบใส่ แต่ที่ขาดไม่ได้โดยเฉพาะวัยรุ่นแถบภาคเหนือจะมีเสื้อไฟ้ว์ ที่เป็นเสื้อกันหนาวข้างในสีส้มๆนะ(จริงๆคือเสื้อนักบินที่ไว้ใส่ตอนขับเครื่องบิน) ปลอมบ้าง จริงบ้าง แล้วแต่งบประมาณ (ส่วนใหญ่จะปลอม) บางรายอาจพ่วงโซ่ไว้ด้วยซึ่งมองแล้วกวนอวัยวะเบื้องล่างผู้คน ฟังเพลงแนว บิ๊กแอส บอดี้แสลม linkin park (ร้องได้ผิดๆถูกๆ แต่แปลไม่ออกแน่นอน)แต่เรียกตัวเองว่า อีโม (ทั้งๆที่จิงๆแล้วมันยังไม่รู้ว่า อีโม แปลว่าอะไร)

แว๊นต์..สก๊อยซ์คืออะไร


แว้นต์ มาจาก...เสียงท่อรถที่เวลาแข่งกันแล้วบิดเร่งความแรงดัง แว้นต์....แว้นต์.... เด็กแว้นต์ เป็นกลุ่มวัยรุ่นซิ่ง ที่นิยมซิ่งรถบนถนน โดยต้องการประลองความเร็ว มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง บางคนรู้จักเด็กแว้นต์ในชื่อของ เด็กเรซ หรือ เด็กเทสต์ แล้วแต่จะเรียก เด็กแว้นต์จะมีผู้หญิงซ้อนท้ายด้วยเสมอ ผู้หญิงเหล่านี้ทำตัวเสมือนตุ๊กตาท้ายรถ ส่วนใหญ่จะใส่กระโปรงหรือกางเกงขาสั้น ผมซอย สวมเสื้อเอวลอย สายเดี่ยว คอเลื้อยคว้านลึกจนเห็นเนินอก แต่งหน้าจัด ใช้ขนตาปลอมเพื่อให้ขนตาเด้งลู่ลม แก้มแดงด้วยน้ำยาอุทัยทิพย์ มักกอดรัดฟัดเหวี่ยงฝ่ายชายขณะซ้อนท้ายรถจนเกินงาม ส่วนใหญ่ผู้หญิงที่ซ้อนท้ายเด็กแว้นต์จะเรียกตังเองว่า "เด็กสก๊อย" หรือ "เด็กซ้อน" ผู้หญิงกลุ่มนี้มักมารวมตัวกันตามสถานที่นัดพบกันก่อนที่นักซิ่งหนุ่มจะมาเสมอ การเข้าสู่เส้นทางการเป็นเด็กแว้นต์ เริ่มจาก "สภาพแวดล้อมพาไป" บางคนครอบครัวเปิดอู่ซ่อมรถ หรือคบเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มแข่งรถเป็นเด็กแว้นต์มาก่อน ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ การเลี้ยงดูก็มีส่วนสำคัญ เด็กแว้นต์ส่วนใหญ่มาจาก "ครอบครัวที่มีปัญหา" พ่อแม่ไม่มีเวลา หย่าร้าง เลี้ยงลูกด้วยเงิน สุดท้ายมาจาก "ความชื่นชอบส่วนตัว" โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่นิยมเรื่องเครื่องยนต์ และชอบการขับขี่มอเตอร์ไซค์ มีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแข่งรถอาชีพ

อารัมภบท เด็กแว๊น...สก๊อย

ประวัติเด็กแว้น หรือ แซป นั้น มีคนสันนิษฐานว่ามาจาก "แซปคุง"(Zabbkung) ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นมาในโอกาสครบรอบ 7 ปีของ สตูดิโอเขียนการ์ตูน มอนสเตอร์คลับ (สตูดิโอของคนไทย ผู้วาดการ์ตูนเรื่อง Joe the Sea-cret Agent) ส่วนคำว่าแว้นนั้น มาจากเสียงท่อไอเสีย ที่ดัดแปลงให้เสียงดังขึ้น รวมไปถึงเสียงดังที่เกิดจากการบิดหนีตำรวจ แต่ก่อนสมัยเครื่องยนต์ 2 จังหวะ เมื่อบิดก็จะเกิดเสียงดัง แว้นๆๆๆ [1]ในอดีตระหว่างคำสองคำนี้จะใช้แตกต่างกัน "เด็กแซป"นั้นไม่ได้จำกัดเฉพาะวงการมอเตอร์ไซด์ แต่จะเหมารวมถึงกลุ่มเด็กที่ชอบทำตัวให้โดดเด่นสะดุดสายตาชาวบ้านด้วยวิธีการผิดๆ เพื่อให้เป็นที่สนใจ เช่น การชกต่อยในงานฟรีคอนเสิร์ต ใส่เสื้อผ้าสีสันบาดตา ไม่เรียนหนังสือ มั่วสุมอยู่แถวโต๊ะสนุ้ก แต่ที่พวกเด็กแซปชื่นชอบมากเป็นพิเศษคือ การดัดแปลงรถมอเตอร์ไซค์ และรวมตัวกันเป็นแก๊ง และในที่สุดก็ได้พัฒนากลายมาเป็น "เด็กแว้น"[1] เอกลักษณ์และพฤติกรรมเด็กแว้นมักจะใส่กางเกงขาเดฟฟิตมากๆ รัดเป้า พร้อมเสื้อสีดำตัวเล็ก หรือเสื้อที่มีสกรีนลายชื่อนักร้องวงต่างๆ บางรายอาจจะแสดงความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งด้วยการใส่กางเกงขาสั้น ทรงผมที่นิยมมักไว้ทรงผมแบบ "ทรงปั๊ป โปเตโต้" ที่มีเอกลักษณ์คือปาดปอยผมจากด้านข้างเกือบจดหูพาดมาอีกข้างหนึ่งของใบหน้า และอาจมีปอยผมห้อยมาปิดลูกตา ส่วนใหญ่จะใส่รองเท้าแตะแบบนิ้วคีบรุ่น ตราช้างดาว เพราะราคาไม่แพง สำหรับแนวเพลงที่ชาวแว๊นหรือแซป ชอบมากเป็นพิเศษคือ บอดี้แสลม บิ๊กแอส หรือวงเรโทรสเปกต์ เป็นต้น[1]เด็กแว้นในยุคหลังจะมีการแต่งตัวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบางกลุ่มจะได้แรงบันดาลใจจากเด็กแนวฮิพฮอฟซึ่งได้มาจากการไปเที่ยวตามสถานเริงรมณ์ จากแต่ก่อนใส่เสื้อตัวเล็กก็เปลี่ยนมาเป็นเสื้อตัวใหญ่แบบฮิฟฮอฟส่วนกางเกงจะเปลี่ยนเป็นกางเกงยีนส์ฟอกสี่ซีดตัวใหญ่ รองเท้าได้เปลี่ยนเป็นแบบสวม ส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ เทวิน ใส่ทอง มีกระเป๋าคาด และโกรกผมสีทองสถานที่เด็กแว้น หรือแซป นัดพบกันส่วนใหญ่จะเป็นบริเวณถนนรอบเมืองและรอยต่อปริมณฑล ลานพระบรมรูปทรงม้า แยกกองทัพภาคที่ 1 หน้าสวนอัมพร ถนนกาญจนาภิเษก (ตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี)[1] ซึ่งเคยดำเนินคดี เด็กแว้น 137 ราย และสาวสกอยซ์ซ้อนท้ายอีก 17 ราย ที่ใช้ถนนประลองความเร็วบนเส้นทางนี้[5] หรือที่นัดพบจุดสำคัญอีกที่หนึ่งคือ สะพานพุทธ ซึ่งวันที่สะดวกที่สุดคือวันหยุดสุดสัปดาห์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ พฤติกรรมการชอบขับรถซิ่ง จากการสำรวจการร้องเรียนเกี่ยวกับแก๊งเด็กแว้น หรือกลุ่มวัยรุ่นแข่งซิ่งบนถนน ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม - 31 ธันวาคม 2551 พบว่าถนนที่มีการปิดถนนแข่งรถมากที่สุดอันดับ 1 คือ ถนนบางนา-ตราด และถนนประเสริฐมนูกิจ หรือถนนเกษตร-นวมินทร์, อันดับ 2 ถนนกาญจนาภิเษก และถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี อันดับ 3 ถนนราชพฤกษ์, อันดับ 4 ถนนสุวินทวงศ์, อันดับ 5 ถนนวิภาวดีรังสิต, อันดับ 6 ทางยกระดับจตุรทิศ พระราม 9 - ศรีอยุธยา, อันดับ 7 ถนนสุขสวัสดิ์, อันดับ 8 ถนนแจ้งวัฒนะ, อันดับ 9 ถนนศรีนครินทร์ และอันดับ 10 ถนนกำแพงเพชร 6 หรือโลคัลโรด[6]ปัญหากับสังคมปัจจุบัน เด็กแว้น เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน แต่เดิมจากการตั้งกลุ่มแค่ชอบความเร็ว สร้างความเดือดร้อนทางเสียงให้กับชาวบ้าน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนไปมากกลายเป็นแก๊งอันธพาล ยิงกัน ยกพวกตีกันปาหิน ฯลฯ เริ่มมีเรื่องของการพนัน ยาเสพติด ปัญหาทางเพศ อุบัติเหตุ ไปจนถึงการก่ออาชญากรรม บางแก๊งมีเป็นร้อยคนมีขาใหญ่คุม ตั้งแก๊งแข่งรถบนถนนสายใหญ่ ในกลุ่มมีสมาชิกตั้งแต่ไม่ถึง 10 ขวบ และยังไม่ได้เรียนหนังสือ ก็มาขอเข้ากลุ่ม และบางกลุ่มใช้แรงจูงใจให้ถอยรถมอเตอร์ไซค์ได้เพียงใช้เงิน 199 บาท หรือไม่ต้องดาวน์เลยก็ได้ หลังจากนั้นเด็กจะขอเงินพ่อแม่มาแต่งรถ ตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น เพื่อให้รถแรงแข่งชนะคนอื่น แข่งขันกันบนถนนหลวงเส้นยาว ๆ ทุกคืนวันศุกร์และเสาร์ ซึ่งบางกลุ่มยังใช้เป็นเครือข่ายส่งยาเสพติด หรือถูกหาประโยชน์จากหัวหน้ากลุ่ม[8]